การสอนตามแนวสื่อสารคืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร
การ
สอนตามแนวสื่อสารได้ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรก
ในแถบอเมริกาเหนือและยุโรปในช่วงปี 1970
การสอนตามแนวสื่อสารเกิดขึ้นในยุโรป
เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้อพยพเข้าไปอาศัยในยุโรปเป็นจำนวนมาก
สมาพันธ์ยุโรป (Council of Europe)
จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาหลักสูตรการสอนภาษาที่สองแบบเน้นหน้าที่และสื่อ
ความหมาย (functional national syllabus design)
เพื่อช่วยให้ผู้อพยพสามารถใช้ภาษาที่สองในการสื่อสาร
ในส่วนของอเมริกาเหนือไฮมส์ (Hymes) ได้ใช้คำว่า
ความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร (communicative competence)
หมายถึงความสามารถในการปฎิสัมพันธ์ หรือปะทะสังสรรค์ทางด้านสังคม (social
interaction) ซึ่งความสามารถทางด้านภาษาที่สำคัญที่สุดคือ
ความสามารถที่จะพูด หรือเข้าใจคำพูดที่อาจไม่ถูกหลักไวยากรณ์
แต่มีความหมายเหมาะสมกับสภาพการณ์ที่คำพูดนั้นถูกนำมาใช้ (Savignon, 1991)
การ
สอนภาษาแบบสื่อสาร (Communicative Language Teaching - CLT)
คือแนวคิดซึ่งเชื่อมระหว่างความรู้ทางภาษา (linguistic knowledge)
ทักษะทางภาษา (language skill) และความสามารถในการสื่อสาร (communicative
ability) เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้โครงสร้างภาษาเพื่อสื่อสาร (Canale
& Swain, 1980 ; Widdowson, 1978). คเนล และสเวน (1980) และเซวิกนอน
(Savignon, 1982) ได้แยกองค์ประกอบของความสามารถในการสื่อสารไว้ 4
องค์ประกอบ ดังนี้
1.
ความสามารถทางด้านไวยากรณ์หรือโครงสร้าง (grammatical competence)
หมายถึงความรู้ทางด้านภาษา ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ โครงสร้างของคำ
ประโยค ตลอดจนการสะกดและการออกเสียง
2.
ความสามารถด้านสังคม (sociolinguistic competence) หมายถึงการใช้คำ
และโครงสร้างประโยคได้เหมาะสมตามบริบทของสังคม เช่น การขอโทษ การขอบคุณ
การถามทิศทางและข้อมูลต่าง ๆ และการใช้ประโยคคำสั่ง เป็นต้น
3.
ความสามารถในการใช้โครงสร้างภาษาเพื่อสื่อความหมายด้านการพูด และเขียน
(discourse competence) หมายถึง ความสามารถในการเชื่อมระหว่างโครงสร้างภาษา
(grammatical form) กับความหมาย (meaning) ในการพูดและเขียนตามรูปแบบ
และสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
4.
ความสามารถในการใช้กลวิธีในการสื่อความหมาย (strategic competence)
หมายถึงการใช้เทคนิคเพื่อให้การติดต่อสื่อสารประสบความสำเร็จโดยเฉพาะการ
สื่อสารด้านการพูด
ถ้าผู้พูดมีกลวิธีในการที่จะไม่ทำให้การสนทนานั้นนั้นหยุดลงกลางคัน
เช่นการใช้ภาษาท่าทาง (body language)
การขยายความโดยใช้คำศัพท์อื่นแทนคำที่ผู้พูดนึกไม่ออก เป็นต้น
จะ
เห็นได้ว่า CLT ไม่ได้ละเลยโครงสร้างทางไวยากรณ์
แต่ในการสอนโครงสร้างทางไวยากรณ์ต้องเน้นการนำหลักไวยากรณ์เหล่านี้ไปใช้
เพื่อการสื่อความหมายหรือการสื่อสารคเนล และสเวน (Canale & Swain,
1980) อธิบายไว้อย่างชัดเจนถึงความสำคัญของกฎเกณฑ์และโครงสร้างทางภาษา
ถ้าปราศจากกฎเกณฑ์
และโครงสร้างแล้วความสามารถทางการสื่อสารของผู้เรียนจะถูกจำกัด ดังนั้น
ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา (fluency) และความถูกต้องในการใช้ภาษา
(accuracy) จึงมีความสำคัญเท่ากัน |
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น